ความจริง คือ แสงสว่างสู่ทางออกของปัญหา

Friday, August 26, 2016

ขวัญชัย วรสูตร นักชกผู้ชกเอาเปรม ติณสูลานนท์ ก้นจ้ำเบ้า เลือดทะลักอาบหน้า!!!

นักชกประวัติศาสตร์ ซึ่งมีนามเรียกขานกันว่า ขวัญชัย วรสูตร อายุ 27 ปีนักศึกษาหนุ่ม จากคณะรัฐศาสตร์ ปี 4  มหาวิทยาลัยรามคำแหง

เวลาราว 16.00 น. ของวันที่ 10 พฤศจิกายน 2528 เมื่อ 25 ปีที่แล้ว เขาทิ้งหมัดขวาตรงสุดแรงหมัดเดียว เข้าเต็มหน้า อำมาตย์ใหญ่ ที่ชื่อ พลเอก เปรม ติณสูลานนท์ นายกรัฐมนตรี

อำมาตย์เปรมหงายตึงและทรุดลงกับที่นั่งประธานบนอัฒจรรย์ สนามกีฬาหัวหมาก ขณะที่กำลังนั่งชมฟุตบอลคู่ชิงชนะเลิศ ในวันพิธีปิดกีฬามหาวิทยาลัย

แผลแตกลึกที่ดั้งจมูกยาวเกือบ 2 เซนติเมตร เลือดทะลักอาบหน้า!

นักชกหนุ่มมือสมัครเล่น ขวัญชัย วรสูตร ยังยืนชี้หน้าอำมาตย์และตะคอกสำทับด้วยวาจาว่า "หมั่นไส้มานานแล้ว!" และคำสบถตามมาอีกหลายประโยค

อำมาตย์เปรมตะโกนติดสำเนียงใต้ว่า"อย่าให้มันฉกกู๋" แล้วเรียกลูกน้องและผู้อารักขาเข้ามาช่วย

เจ้าหน้าที่ตำรวจซึ่งคอยรักษาความปลอดภัยอยู่ 3-4 คน เมื่อหายตะลึง ก็รีบพากันกรูกันเข้ามารุมล๊อคตัว สับกุญแจมือไขว้หลังเอาไว้ในนาทีถัดมา โดยไม่มีการต่อสู้ขัดขืนแม้แต่น้อย

หลังจากชกหมัดขวาหมัดเดียวเข้าเต็มๆ หน้าอำมาตย์เปรม ขวัญชัย วรสูตร ก็ไม่ได้มีทีท่าว่าจะเข้าไปทำร้ายซ้ำเติมให้ได้รับบาดเจ็บมากไปกว่านั้น และเขาก็ไม่ได้พยายามต่อสู้หรือหลบหนีการจับกุมแต่อย่างใด

แน่นอนที่สุด นี่เป็นความตั้งใจและได้เตรียมการมาเป็นอย่างดี

ขวัญชัย วรสูตร ขอชกแบบจะๆ เพียงหมัดเดียว แล้วก็ยืนดูอย่างไม่สะทกสะท้านอันใด

พ.ต.ท.สวง มีแทน สถานีตำรวจนครบาลหัวหมาก ต้องรีบเรียกหน่วยพยาบาล ช่วยกันหามอำมาตย์เปรมซึ่งขณะนั้นก็มีอายุปาเข้าไป 65 ปีแล้ว รีบนำตัวส่งไปเข้ารับการรักษาพยาบาลโรงพยาบาลพระมงกุฎในทันที

รายงานของคณะแพทย์ปรากฎว่า บาดแผลฉกรรจ์ลึกถึงกล้ามเนื้อของจมูก ดั้งจมูกแตก ลึกเป็น 3-4 แฉก คณะแพทย์ต้องระดมตรวจเช็คด้วยเครื่องมืออุปกรณ์โดยละเอียด เพื่อให้มั่นใจว่าไม่มีการกระทบกระเทือนไปถึงสมองและส่วนอื่นๆ ของศีรษะ

รองศาสตาจารย์สุขุม นวลสกุล อธิการบดีมหาวิทยาลัยรามคำแหงในขณะนั้น ต้องแสดงสปิริตด้วยการลาออกจากตำแหน่งในวันรุ่งขึ้นทันที เพื่อรับผิดชอบที่นักศึกษาในสถาบันของตนได้ก่อเหตุชกหน้านายกรัฐมนตรีของประเทศไทยในขณะนั้น ต่อหน้าต่อตาอธิการบดีด้วยซ้ำ

อำมาตย์เปรมต้องนอนพักรักษาตัวอยู่เกือบ 2 สัปดาห์ จึงจะสามารถออกมาปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรีต่อได้

ต่อมา ก็ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน ยอมรับภายหลังเหตุการณ์ ว่า "ป๋าเห็นดาวเลยละลูกเอ๋ย..." 

เด็กหนุ่มนักศึกษารามฯ ขวัญชัย วรสูตร มีพื้นเพเป็นคนกรุงเทพ บ้านอยู่ในซอยสุสาน แถวเขตบางรัก ได้สร้างวีรกรรมไว้จนเป็นที่สะใจไม่น้อย สำหรับคนรักประชาธิปไตยในยุคนั้น

เพราะอำมาตย์เปรมขณะนั้น นั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรีมากว่า 5 ปี ต่อเนื่องเป็นสมัยที่ 2 แล้ว ในยุคประชาธิปไตยครึ่งใบ อำมาตย์เปรมถูกสังคมตำหนิว่าขึ้นมามีอำนาจโดยใช้กองทัพหนุนและไม่ยอมลงสมัครรับเลือกตั้ง

ไม่น่าเชื่อว่าชื่อ ขวัญชัย วรสูตร จะกลายเป็นที่กล่าวขานอีกครั้ง หลังจากเวลาผ่านไปเกือบ 2 ทศวรรษครึ่ง มาถึงเวทีของคนเสื้อแดงในวันนี้

ขณะที่เรียนหนังสืออยู่ปี 4 ซึ่งเป็นปีสุดท้าย ใกล้จะเรียนจบเป็นบัณฑิตทางรัฐศาสตร์อยู่แล้ว แต่ทำไม ขวัญชัย วรสูตร เลือกที่จะกำหนดเส้นทางชีวิตใหม่ ด้วยความพยายามที่จะสื่อสารและบอกกล่าวให้ผู้คนในสังคมไทย รับรู้ถึงตัวตนของอำมาตย์เปรมที่แท้จริง

ขณะนั้นเขามิได้เฉลียวใจเลยแม้แต่น้อยว่า เส้นทางชีวิตของเขาจะผกผันหันไปสู่เส้นทางอำมหิต กระทั่งท้ายที่สุดก็นำไปสู่ความตายที่น่าสยดสยองของเขา ในอีกไม่กี่เดือนถัดมา

การแสดงออกด้วยความรุนแรง แม้เพียงการเข้าทำร้ายแบบมือเปล่าที่ ขวัญชัย วรสูตร ได้ก่อเหตุขึ้นนั้น ในมุมมองของสังคมไทยโดยทั่วไปอาจจะรับไม่ได้

แต่ในเชิงสัญญลักษณ์แล้ว กล่าวได้ว่า เขาทำได้สำเร็จบรรลุวัตถุประสงค์ และเสียสละที่จะดำเนินการด้วยตนเองเพียงคนเดียว ภายใต้ขอบเขตที่เขาควบคุมระดับของความรุนแรงไว้ เป็นไปตามที่ได้วางงานมาเป็นอย่างดี

สังเกตุได้จากการที่เขาไม่ใช้อาวุธใดๆ ทั้งๆ  ที่รู้อยู่ว่ามาตรการรักษาความปลอดภัยของอำมาตย์เปรมหละหลวมมาก เขาตั้งใจเพียงการชกหน้าอำมาตย์เปรมหมัดเดียว แล้วยืนดูไม่เข้าไปทำร้ายซ้ำเติม อีกทั้งไม่ขัดขืน ไม่ต่อสู้ และให้ความร่วมมือในการจับกุมของเจ้าหน้าที่ตำรวจ

ตลอดจนการรับสารภาพในการกระทำความผิดแต่โดยดี เพื่อให้การดำเนินคดีราบรื่นไปจนคดีถึงที่สุดโดยเร็ว และเขาก็น้อมรับการลงโทษสั่งจำคุก 3 เดือนโดยคำพิพากษาของศาล ว่าไปตามกบิลเมืองอย่างไม่หวั่นเกรงสิ่งใด

ไม่น่าเชื่อเลยว่านับจากวันนั้น ขวัญชัย วรสูตร ก็ได้กลับกลายผู้ถูกกระทำเข้าบ้าง ตกเป็นเหยื่ออำนาจอธรรม เหยื่อของความรุนแรงเสียยิ่งกว่า ป่าเถื่อนยิ่งกว่านับแสนนับล้านเท่า

ในที่สุด มนุษย์ใจบาปได้พกความอาฆาตพยาบาท แม้ว่าได้จองจำเขาไว้ในคุกแล้ว ก็ยังตามไล่ล่าเอาชีวิตและไล่ล่าเอาวิญญาณของเขา ด้วยน้ำมือของฆาตรกรเลือดเย็น

เขาถูกหาว่าเป็นคนวิกลจริต ถูกจับส่งโรงพยาบาลบ้า ไปตรวจสภาพความบกพร่องทางสมอง หรือจะโดนกระทำอะไรต่อมิอะไรในสถานที่เหล่านั้นเพิ่มก็ไม่มีใครทราบได้

ขวัญชัย วรสูตร ถูกรุมจับกดน้ำตาย เป็นข่าวเล็กๆ ข่าวสุดท้ายที่ได้ยินเกี่ยวกับเขา ในไม่กี่วันหลังจากศาลสั่งจำคุก

ต้องประณามว่า นี่มันเป็นพฤติกรรมของสัตว์นรก ที่มีจิตใจอำมหิตเกินกว่าปุถุชนทั่วไปจะกระทำต่อกัน

ในสงครามต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยของคนเสื้อแดงยามนี้ หากเขายังมีชีวิตอยู่ ในวันนี้ของ ขวัญชัย วรสูตร จะมีอายุ 52 ปีเต็ม

เชื่อมั่นได้เลยว่า รัฐศาสตร์บัณฑิตในวัยหนุ่มใหญ่คนนี้ ย่อมจะต้องเลือกยืนอยู่เคียงข้างกับคนเสื้อแดงในทุกสมรภูมิรบ เพื่อเรียกหาความเป็นธรรมและประชาธิปไตยเต็มใบ

ในยามนี้ เพื่อกระตุ้นเตือนและระลึกถึงจิตใจที่กล้าเสียสละ กล้าต่อสู้ ของหมู่มิตรสหายคนเสื้อแดง ที่เสียสละเลือดเนื้อและชีวิตไปในหลายเหตุการณ์ ของการต่อสู้เรียกร้องประชาธิปไตย

จึงอยากจะให้เราน้อมจิตใจเพื่อรำลึกถึง  1 ในผองเพื่อนผู้ล่วงลับจำนวนมาก ในบรรดาผู้โดยสารขบวนรถไฟสายประชาธิปไตย

ร่วมคารวะดวงวิญญาณ ขวัญชัย วรสูตร ผู้ล่วงลับ แม้เขาจะได้ตายจากไปยี่สิบกว่าปีแล้ว

กระดูกร้องไห้ ถามหาความยุติธรรม อย่างสำนวนไทยที่คนโบราณว่าไว้ ให้ผู้ใดก็ตามที่มันก่อกรรมทำเข็ญกับบ้านเมืองได้พึงสังวรไว้...

อ้างอิง

No comments:

Post a Comment