ข่าวใหญ่ประจำสุดสัปดาห์นี้ คงไม่มีอะไรเด่นไปกว่า ข่าวการพ่ายแพ้การเลือกตั้งซ่อม สส. และการเลือกตั้งท้องถิ่นของตัวแทนพรรคเพื่อไทย โดยกรณีแรก แพ้ให้กับผู้สมัครพรรคประชาธิปัตย์เสียด้วย การพ่ายแพ้ครั้งนี้ น่าจะส่งกระแสที่แรงพอสมควรให้กับผู้คนที่เกี่ยวข้อง
ประชาธิปัตย์และอำมาตย์บางส่วน คงจะแอบหวังว่า นี่คือสัญญาณดีสำหรับตน
"เสื้อแดงแตกแยกแล้ว แผนตูได้ผลแล้ววุ้ย"
"พรรคมักง่ายอย่างเรา พอจะมีหวังแล้วว้อย"
ส่วนเพื่อไทยเอง แม้ว่าการแพ้แค่ที่นั่งเดียว จะไม่กระทบการทำงานของพรรค
แต่นัยสำคัญหลายอย่าง จะมองข้ามไม่ได้เลย
ยิ่งประชาธิปัตย์ซึ่งได้ที หลังจากรอมานาน จะออกมาเยาะเย้ยให้เจ็บใจแล้ว
ยังต้องมาคิดให้หนัก
เพราะกระแสลอยลมบนของหนูปู มันไม่ได้ช่วยเอาเสียเลย
ภาพดี ๆ ที่สร้างขึ้นอย่างบรรจงต่าง ๆ ก็ถือว่ายิ่งใหญ่ไม่น้อย
การออกไปเยี่ยมชาติใหญ่ ๆ ในเอเชียจนครบ แถมได้รับการตอบรับเยี่ยม
ภาพการเป็นคุณหนูปูใส ไม่ยุ่งกับเรื่องน้ำเน่าทางสภาและหน้าสื่อ
ภาพการทำงานหนัก จัดการกับนโยบายที่แถลงไว้อย่างเอาใจใส่
แต่ที่ดูยิ่งใหญ่ แต่เป็นแบบดาบสองคมก็เห็นจะเป็นภาพเหล่านี้
หนึ่ง เอาใจทหารที่ฆ่าประชาชน และนายพลในอำนาจพิทักษ์ราชวงศ์ ด้วยการไม่เร่งรัดเอาผิด และให้งบสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ไทย เพื่อแลกกับการไม่ต้องกังวลกับกองทัพ แต่ก็ต้องขัดใจมวลชนแดง ด้วยการให้เลื่อนยศ ให้เงิน ให้เกียรติ และวางแผนจะให้อภัยโทษชนิดรวบหัวรวบหาง บนคำอ้าง "ปรองดอง"
สอง การผูกมิตรกับพลเอกเปรม ชนิดหวานแหวว ส่งเสียงผ่านแม่น้ำโขงเข้ามา ก่อนจะให้คณะรัฐมนตรี โดยใช้เสน่ห์ของน้องปู เข้าไปอี๋อ๋อ ออหน้ากันกราบและขอพรปีใหม่จากคนที่นำกบถรัฐประหารเข้าเฝ้า เพื่อขอลายเซ็นต์แห่งความชอบธรรม
สาม การได้รับสายสะพายอันทรงเกียรติ สามสายซ้อน ๆ ชนิดที่ไม่เคยมีใครได้รับเกียรติขนาดนี้ สายนี้ น้องปูอาจจะพึงพอใจ ยืดอก ยิ้มกว้าง และมั่นใจยิ่งขึ้น แต่ในสายตาของคนเสื้อแดง และสายตาชาวโลกที่มองมาตรา 112 คดีความที่เกี่ยวข้อง สิทธิสตรี และสิทธิมนุษยชนอื่น ๆ ด้วยความเป็นห่วงและไม่สบายใจนั้นเล่า กลับเห็นภาพการปรองดองกับอำนาจโบราณแล้วย่ำยีหลักสิทธิมนุษยชนพื้นฐาน ปล่อยปัญหาคาราคาซังอย่างมีข้อกังขาหลายข้อ ทิ้งหลักการประชาธิปไตย และหลักความยุติธรรมชนิดที่ใครว่า ก็เถียงไม่ออก นอกจากบอกว่า เรื่องมันซับซ้อน ไม่มีอำนาจในมือ บลา บลา บลา
สี่ การออกโรงเรียกแม่ยกพ่อยกให้ไปรดน้ำดำหัว ดร. ทักษิณ ที่ประเทศลาวและเขมร อย่างเอิกเริก ชนิดที่หาใครในโลกนี้ทำได้เทียมเท่ายากนักนั้น กลับถูกทำให้ด้อยค่าลงไปถนัดใจ เมื่อ ดร. ทักษิณผู้กล้าเอ่ยวลี "ช่างแม่มัน" กลับกล่าวติติงประชาชนผู้สูญเสียญาติ ๆ ว่าให้หยุดเคลื่อนไหว ยอมเสียสละ ในฐานะคนส่วนน้อย เพื่อประโยชน์ในการปรองดองของคนส่วนใหญ่ แถมกล่าวอย่างชัดเจนว่า การปรองดอง คือการที่พวกฆ่าคนตายจะไม่ได้รับโทษ
อันที่จริง การแพ้การเลือกตั้งของเพื่อไทย เกิดด้วยเหตุหลายระดับ
ในระดับท้องถิ่นและการเมืองของปทุมธานี อันเป็นเขตสำคัญของเสื้อแดง ฐานปฎิบัติการที่มีพลเมืองแดงเข้มข้น ดำเนินการทางการเมืองช่วยเหลือจนเพื่อไทยขึ้นสู่อำนาจอย่างแข็งขัน แต่สิ่งที่เขาได้ กลับเป็นนักการเมืองท้องถิ่นที่ไม่ค่อยดูแลเอาใจใส่พวกเขาดีพอ ยัดเอาใครไม่รู้ ที่ไม่เคยผูกพันแน่นแฟ้นกับคนท้องถิ่นลงสมัคร สส. โดยคิดว่า น้องปูไปย้ำบนเวทีสักครั้ง ก็คงพอ แถม สส. ก็พิเรนลาออกเพื่อไปหาตำแหน่งที่เกี่ยวข้องกับงบประมาณโดยตรงมากกว่า คือ ลดลงมาเล่นการเมืองระดับจังหวัดแทน (ฮ่วย) แล้วก็หวังกันว่า ทำอะไรก็ได้ เสื้อแดงเลือกอยู่แล้ว แล้วผลเป็นไงเล่าครับ แพ้ทั้งสองสนาม!!!
หากจะมองตัวแปรระดับท้องถิ่น มันก็พอจะกล้อมแกล้มโทษฟ้าโทษดิน โทษกบ โทษเขียดได้ เช่น หลังสงกรานต์คนหนีไปเที่ยว คนไปเลือกตั้งน้อยมาก คะแนนประชาธิปัตย์ไม่ได้เพิ่มขึ้นจากปีก่อน หรือแม้แต่คนสับสนระหว่างเบอร์หนึ่งและเบอร์สอง ในการเลือกตั้งสองระดับ ฯลฯ แต่ความจริงก็คือ คนเสื้อแดงไม่ได้ไปเลือกตั้ง และหลายเสียงไม่เลือกใคร นี่แปลว่ากระไร
แน่นอน เพื่อไทยคงต้องหาคำตอบให้ชัด
แต่จะบอกให้ในฐานะที่ได้พูดคุยกับพี่น้องหลายฝ่าย
วิกฤติศรัทธา สำหรับแกนนำ นปช. นักการเมืองเพื่อไทย (ไม่ต้องพูดถึง ปชป.)
และแม้แต่ดร. ทักษิณและคุณยิ่งลักษณ์เอง ได้ก่อตัวขึ้นนานแล้ว และกำลังปรากฎผล
หากจะพูดแบบเป็นมิตรกันก็คือ นี่คือการสั่งสอนผู้เกี่ยวข้อง แบบนิ่ม ๆ
แต่หากจะบอกอย่างไม่กั๊ก ก็คือ...
แดงที่ยิ่งแดงเข้ม ก็ยิ่งยืนห่างจาก คณะนักการเมืองในสังกัด ดร. ทักษิณ เข้าไปทุกที
ทำไมหรือ? ท่านเอาท่อนที่ว่า "ยิ่งแดงยิ่งเข้ม" ไปตีความเอง
แล้วก็เอาไปเปรียบเทียบอย่างไม่ตอแหลหรือหลอกลวงตัวเอง
กับพฤติกรรมในแนวทางที่คณะนักการเมืองเพื่อไทยทำ หรือไม่ทำ ตั้งแต่เข้าสู่อำนาจก็แล้วกัน
แต่สิ่งที่ผมอยากนำเสนอ ณ ที่นี้ ก็คือ พฤติกรรมถอนตัวจากของมวลชนแดง
ออกจากการชี้นำ ใช้งาน และหลอกใช้ของนักการเมืองและขบวนปฎิรูป นั้น
ไม่ได้หมายความว่า พวกเขาจะจ้องทำลายเพื่อไทยแบบงี่เง่า
ไม่ได้หมายความว่า พวกเขาจะไปเลือกพรรคเหี้ย ๆ
ไม่ได้หมายความว่า พวกเขาจะยอมกราบกรานหรือเป็นเครื่องมือให้ใครอื่น
แต่มันหมายความว่า...
พวกเขาจะสลัดเชือกพันธนาการจากความสัมพันธ์และความเชื่อเดิม ๆ ให้พ้น
พวกเขาจะไม่ยอมกราบใคร ไม่ยอมจงรักภักดีต่อใคร
พวกเขาจะไม่ยอมถูกใช้ในกิจกรรมลิเกการเมืองที่ไม่มีผลคืบหน้า
พวกเขาจะไม่ยอมให้ใครปิดปาก ปิดกั้น และชี้นำให้ถอยหลังไปจากแนวทางปฎิวัติ
พวกเขาจะลุกมารวมตัวกัน เพื่อสร้างอำนาจต่อรอง กดดัน และกำกับนักการเมืองในอนาคต
ดีไม่ดี พวกเขาอาจจะตั้งพรรคการเมืองของประชาชนขึ้นมา
และสิ่งที่จะเกิดขึ้นนี้ คือ กระแสปฎิวัติที่แท้จริง
กระแสที่จะไม่ล้มหายตายจากไปกับการต่อสู้ทางการเมือง เพราะพวกเขาไม่ยอมเปลืองตัวเพื่อใคร
จะเป็นกระแสที่เริ่มแรงขึ้น ร้อนขึ้น ... แต่เป็นความร้อนที่คนบางตระกูลในประเทศไทย ... หนาว
ฤดูฝนและฤดูหนาวปีนี้ อากาศคงไม่เปลี่ยนไปมากมายนัก
แต่ในหัวใจของคนบาปหลายตระกูล จะเริ่มรู้สึกถึงความหนาวลึก
เมื่อประชาชน เติบโตเกินใครจะควบคุม
และพวกเขา จะไม่ยอมถอยหลัง และแม้แต่ดร. ทักษิณที่เขารักหรือเคยรักจะขอร้อง
พวกเขาก็จะยิ้มให้แล้วบอกว่า เอ็งจะทำอะไรก็ทำไป
เอ็งจะเป็นจะตาย สำหรับพวกเขาแล้ว ถือวลีเดียวกันกับที่ ดร. ทักษิณ ร้องเอาไว้
ช่างแม่มัน!!
สรุปว่า การไม่ยอมให้เพื่อไทยเรียกใช้
ได้แบบไม่ลงทุน ไม่เคารพ และไม่ตอบสนองต่อเสียงประชาชนนั้น
เป็นจุดเริ่มต้นของมิติใหม่ทางการเมืองไทย
ที่ว่า ใคร หรืออะไรก็ไม่สามารถกลบ เบี่ยงเบน และทำลายแนวางปฎิวัติได้อีกแล้ว
ยิ่งเพื่อไทยทำในแนวทางปฎิรูปหรือแนวทางต้านการปฎิวัติ (anti-revolutionary) เท่าใด
เพื่อไทยก็จะยิ่งรู้ว่า เมื่อมวลชนทิ้งแล้ว นักการเมืองยิ่งใหญ่ขนาดไหน ก็หมดอำนาจได้
และยิ่งแสดงให้เห็นว่า ทางรอดของคนบางตระกูลและคนบาปหลาย ๆ คน มันหดลงทุกวัน
ฮัลโหล ฮัลโหล...
ทราบแล้ว หากไม่คิดปรับตัวหรือปรับตัวไม่ได้แล้ว ก็หาผ้าห่มใจ ไว้ล่วงหน้า ซะเด๊อ.... อะคริ อะคริ
=======================================================