ความจริง คือ แสงสว่างสู่ทางออกของปัญหา

Friday, October 28, 2016

เอกสารบันทึกการประชุม ณ กองกิจการในพระองค์ฯ พระที่นั่งอัมพรสถาน

เอกสารบันทึกการประชุม ณ กองกิจการในพระองค์ฯ พระที่นั่งอัมพรสถาน
 ประจำวันพฤหัสบดี ที่ ๒๐ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๕๙ ออกมา
ขบวนการขัดขวางการขึ้นสืบราชสันตติวงศ์คงต้องคิดหนักและปรับแผนว่าจะรุกต่อหรือถอย
      ประเมินว่าถ้ารุกต่ออาจแรง
      ถ้าถอยยังมองไม่ออกว่าจะถอยอย่างไร เพราะติดกับดักกันทั้งขบวนประกอบด้วย 
       1.พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หน.คสช.นรม.(ครม.ไม่นำพระนามองค์พระรัชทายาทเสนอ รัฐสภาเพื่อประกาศการขึ้นสืบราชสันตติวงศ์ตามกฎมณเทียรบาล พ.ศ.2467 ในคราวเดียวกัน หลังประกาศการเสด็จสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในพระบรมโกศ) 
       การอ้างพระราชบัณฑูรสมเด็จพระบรมนั้น เป็นคนละกรณีกับการประกาศสืบราชสันตติวงศ์
      เหตุผลเพราะมิใช่การประกาศจัดงานพระราชพิธีบรมราชาภิเศก
       ต่อมาวันรุ่งขึ้น รองประธาน สนช.(2) ออกมาให้สัมภาษณ์สื่อฯ ความว่า"ประธานองค์มนตรีขึ้นเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์โดยอัตโนมัติ"
       2. เมื่อ พสกนิกรในพระองค์ทั้งประเทศทราบถึงการกระทำ ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายของ คสช.สนช.(คณะบุคคลผู้อ้างว่าเป็น รัฐบาล และเป็น สนช.เพราะการเข้ามาสู่อำนาจด้วยการยึดอำนาจการปกครองแผ่นดินในระบอบประชาธิปไตย คือ "การก่อการกบฎต่อแผ่นดิน หรือ Junta ดังที่รัฐสภา EU ลงมติ ใน 8 ตุลาคม พ.ศ.2558 ) จึงออกมาทักท้วงต่อการกระทำดังกล่าว ด้วยความจงรักภักดีต่อองค์พรรัชทายาทซึ่งจะขึ้นสืบราชสันตติวงศ์ เพื่อทรงบรมราชาภิเศกเป็นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๑๐ พระองค์ต่อไป ทางสื่อ Social Media อย่างแพร่หลาย
      3.นายวิษณุ เครืองาม ผู้ได้รับการแต่งตั้ง จาก คสช.ให้ดำรงตำแหน่ง นอง นรม.ฝ่ายกฎหมาย ในฐานะผู้ชำนาญการด้านกฎหมาย Expert ไม่ชี้แนะหรือให้คำปรึกษาแก่ ครม.หรือ นรม.ให้ดำเนินการไปตาม นิติโบราณราชประเพณี ว่าด้วยกฎมณเทียรบาล พ.ศ.๒๔๖๗
      การออกมาจีบ
จีบคอชี้แจงอย่างพัลวันว่าการขึ้นดำรงตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์นั้น "ขออย่าให้มองไปที่ชื่อบุคคล ขอให้มองที่ตำแหน่ง ประธานองค์มนตรีและผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์"โดยอ้างว่าเป็นไปตาม รธน.๒๕๕๐ นั้น คนพูด พูดกันส่งเดชเลื่อนลอย ขาดที่มาต้นตอแหล่งข่าวขออย่าให้ประชาชนหลงเชื่อก่อให้เกิดความสับสน ในการจัดแถลงข่าวและให้สัมภาษณ์สื่ออย่างเป็นทางการ เพื่อปกป้อง รองประธาน สนช.(2) นายพีระศักดิ์ พอจิต ซึ่งเข้าข่ายความผิดตาม ป.อาญา ม.๑๑๒ และ ป.อาญา ม.๑๑๓ นั้น
       4.พ.ต.ต.เสงี่ยม สำราญรัตน์ (ตัวจริง เสียงจริง)ได้ติดตามการยกร่าง รธน.มาตั้งแต่ปี  พ.ศ.2539 ประกาศใช้ ปี 2540 (โดยอ้างว่าเป็น รธน.ฉบับ ประชาชน) โดยนำเอาองค์กรอิสระมาใส่เพื่อคานอำนาจและทำลายหลักการประชาธิปไตย ระบอบประชาธิปไตยจึงไม่สามารถเกิดและเดินได้อย่างราบรื่น เพราะการบิดเบือน ของ บวรศักดิ์ วิษณุ มีชัย นักเรียนนอกรั้ว "เนติโจราบริกร" มิใช่ปล่อยข่าวเลื่อนลอยแต่พูดเพื่อให้พสกนิกรเห็นว่าพวกคุณกำลังใช้รัฐธรรมนูญ แต่ฉบับ พ.ศ.๒๕๔๐ จนถึงฉบับปัจจุบัน  เป็นเครื่องมือในการสกัดกั้น และขัดขวางสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช ในการขึ้นสืบราชสันตติวงศ์      ดังความใน 
          หมวด ๒
      พระมหากษัตริย์
  มาตรา ๑๘ - มาตรา ๒๐
             และ
  มาตรา ๒๑ - มาตรา ๒๕
      นี่หรือความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ อันเกิดจากความฉ้อฉล ตลบตะแลง บิดกฎหมายให้เกิดช่องทางหาประโยชน์เข้าขบวนการพวกพ้องตนเอง
       โดยมีหัวขบวนคือ ประธานองค์มนตรี องค์มนตรีบางคน นายอานันท์ ปัณยารชุน นายสิทธิ์ เศวตศิลา ร่วมกันปล่อยข่าวและให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนต่างประเทศอันเข้าข่ายอาฆาตมาดร้ายและความเข้าใจผิดในตัวสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช ซึ่งบุคคลคณะบุคคดังกล่าวรวมถึงบุคคลในขบวนไม่อยู่ในสถานะจะมาวิพากย์วิจารณ์นัชทายาทได้
       บุคคลและคณะบุคคลดังกล่าวได้กระทำการบังอาจมาอย่างต่อเนื่องเพื่อให้เกิดกระแสควขามเข้าใจในตัวพระองค์ผิด
      จึงสมควรถูกดำเนินการจัดการตามกฎหมายอาญา มาตรา ๑๑๒
       เพื่อเป็นการปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์และรัชทายาท ในฐานะพสกนิกรชาวไทยผู้จงรักภักดี ได้โปรดเดินทางไปแจ้งความร้องทุกข์ได้ที่สถานีตำรวจทุกแห่งทั่วประเทศ
      ขอบพระคุณ
     พ.ต.ต.เสงี่ยม สำราญรัตน์
      29 ตุลาคม 2559
      เวลา 07.14 น.

No comments:

Post a Comment