ความจริง คือ แสงสว่างสู่ทางออกของปัญหา

Saturday, July 7, 2012

เพียงแค่แก๊งค์เหี้ย... หันไปมองตัวอย่างดี ๆ บ้าง...


ผมเดินทางถึงที่หมายและรอเช็คอินเข้าที่พักที่เมืองแห่งหนึ่งทางตอนเหนือของแคลิฟอร์เนีย ช่วงนี้มีการแข่งขันเทนนิสหญิงวิมเบิลดันพอดี สรุปผลว่า เซเรน่า วิลเลียมส์ชนะเลิศ ชัยชนะของเธอ หากเป็นเมื่อสี่ห้าปีก่อนหรือแม้แต่เกือบสิบปีก่อนคงไม่มีอะไรพิเศษ เพราะเธอแข็งแรงยิ่งกว่าผู้ชายจำนวนมาก เสริฟแรง ตีแบบกล้าเสียงและมีเชิง เร็วทั้ง ๆ ที่ตัวใหญ่มาก ฯลฯ แต่วันนี้ เธออยู่ในวัยสามสิบ เพิ่งกลับมาจากจุดต่ำสุดของชีวิตคือ เจ็บป่วยเกือบเอาตัวไม่รอด คือหวังแค่ได้มีชีวิตยืนยาวต่อไปแค่นั้น แถมต้องผ่าตัดข้อเท้าทั้งสองข้าง  การได้กลับมาแข่งแกรนด์แสลมระดับโลก จึงเป็นสิ่งที่เหมือนจะเหลือเชื่อ ไม่ต้องพูดถึงการเข้ารอบลึก หรือการเป็นแชมเปี้ยน!!!




ผมดูการตีของเธอปลายเซ็ตแรก ที่เธอชนะ 6:1 เป็นเหมือนเธอได้เกิดใหม่ นึกถึงเวลาผมได้ลงแข่งสนามหญ้าสวย ๆ หลังจากซ้อมมานานหรือรอมานานโดยไม่มีโอกาส ความสุขจากการได้สัมผัสหญ้าและการได้เคล้าคลึงและเตะลูกบอลตามใจปรารถนา เซเรน่าในเซ็ตแรกนั้น เสริฟคมและตีได้ดีเหมือนกับที่เคยเห็นเธอในวัยกำลังรุ่ง แต่คราวนี้ ผมเห็นความนิ่ง ความตั้งใจ และการควบคุมการเคลื่อนไหวอย่างมีสติและมั่นใจ  แม้ว่าในเซ็ตที่สอง เธอจะถูกคู่ต่อสู้ที่พยายามและทำได้ดีมากเฉือนเอาชนะไป 7 ต่อ 5 เกม เธอกลับมาได้และเอาชนะอย่างขาดลอยอีกครั้งในเซ็ตที่สาม  เมื่อชนะแล้ว เธอดีใจเหมือนเด็กน้อย ตัวโตเหมือนยักษ์แต่กระโดดโลดเต้นด้วยความสุข ฉลองกันมันอย่างไม่ต้องยั้ง ไม่ต้องแคร์ใครมากมาย เธอปีนขึ้นไปหาพ่อแม่ พี่สาว และทีมงานที่คอยช่วยเหลือเธอ ท่ามกลางเสียงปรบมือ และความสุขของคนดู ที่ได้เห็นการกลับมาอันยิ่งใหญ่ของเธอ หลังจากผ่านช่วงวิกฤติของชีวิตเธอมาได้ ความสวยงามนี้ ไม่ได้เกิดง่าย ๆ หรือด้วยการเข้าข้างหรือช่วยเหลือพิเศษจากคณะอัมไพร์ที่ช่วยกันตัดสิน เป็นเกมที่เธอต้องสู้แบบลูกต่อลูก ต้องออกแรง ต้องปาดเหงื่อ ฯลฯ  แต่ทุกอย่างอยู่บนกติกาที่เป็นธรรม โปร่งใสเกิดขึ้นต่อหน้าคนนับหมื่น เมื่อมีข้อสงสัย ก็มีการใช้เทคโนโลยีตัดสินแบบไม่มีการโกงหรือใช้อคติ  ไม่มีใครแกล้งโห่ฮาหรือทำตัวป่านเถื่อน ไปฟ้องร้องหรือฝืนกติกาใด ๆ ภาพอันสวยงามนี้ แม้จะเป็นภาพจากสนามเทนนิสแห่งหนึ่งแค่นั้น แต่มันสะท้อนสภาพสังคมที่สร้างสรรค์แบบตะวันตก สังคมที่ให้กำลังใจนักต่อสู้ที่ชนะด้วยกติกามารยาท สังคมที่ส่งเสริมคนใช้ศักยภาพและความสามารถใต้กติกาที่เป็นธรรม เพื่อสร้างความสุขและประโยชน์แก่คนหมู่มาก  สังคมที่รู้แพ้ รู้ชนะ ยกย่องคนดี

เมื่อกลับมานึกถึงสังคมไทย ทำไมภาพมันจึงแตกต่างกันมากมายนัก เหมือนสวรรค์กับนรกเลยก็ไม่ปาน

ผมนึกถึงการซักถามพยานของผู้ร้องทั้งสี่ห้าตัวเมื่อวาน มันช่างเต็มไปด้วยอคติ
เป็นนิสัยที่ชอบหาเรื่องเอาเปรียบและตอแหลกับตัวอักษร
การพยายามใช้ความหยาบคาย เหยียบย่ำฝ่ายตรงข้ามให้มีภาพไม่น่าเชื่อถือ
เพื่อยัดเยียดความเสียเปรียบให้กับคนที่ออธิบายหลักกฎหมายและหลักประชาธิปไตย

แล้วผมก็นึกถึงสิ่งต่าง ๆ อีกมากมาย
ตั้งแต่การตั้งแก็งค์กันใส่ร้ายป้ายสี ดร. ทักษิณ อย่างโหดเหี้ยมด้วยเล่ห์ร้าย
การลอบฆ่าคนที่ทำงานหนักยิ่งกว่าควาย เพื่อให้เจ้าและประชาชนพอใจ
การเอากำลังทหารยึดอำนาจประชาชน แล้วหาทางเขียนกฎกติกาต่าง ๆ อย่างแยบยล เพื่อทำลายการเติบโตของประชาธิปไตย
การกล่าวหาและยัดคดีความให้ฝ่ายตรงข้าม
การใส่ร้ายป้ายสีอย่างต่อเนื่องบนสื่อทีตัวเองสั่งการได้
แล้วก็นำไปสู่การดันเด็กนรกอย่างอภิสิทธฺิ์ขึ้นเป็นนายกฯ ด้วยการใช้กำลังบังคับนักการเมืองให้หักหลังประชาชน
จนนำไปสู่การฆ่าประชาชนจำนวนมากมาย
แล้วคนสั่งยังลอยหน้า คนฆ่ายังลอยนวล มาสร้างวาทกรรมเอาดีใส่ตัว เอาชั่วใส่คนอื่นไปวัน ๆ
แทนที่จะแย่งกันทำดี ส่งเสริมคนที่ทำดี ยกย่องกัน เพื่อให้คนทุกคนทำดี
จนถึงวันนี้ ความพยายามดึงประเทศถอยหลังและฆ่าฟันประชาชนที่แสวงหาสิ่งที่ดีกว่าให้กับบ้ามือง ก็ยังไม่หยุด
ตุลาการวิบัติ เป็นสิ่งชี่วร้ายที่สะท้อนระบอบที่ระยำยิ่งกว่าเสียอีก นั่นคือระบอบที่สานพลังกันอย่างมีเลศนัยล้ำลึก
และเมื่อคนจับได้อ่านทัน มันก็ผันมาเป็นเกมดาด ๆ ที่อาศัยคนโง่จริง ๆ และเสื่อมทางความคิดจริง ๆ เท่านั้นจึงจะกล้าทำได้

ผมไม่อยากพูดอะไรมากไปกว่าแค่เล่าเรื่องเล็กน้อยให้ฟัง
หากจะให้สรุป ก็คงอยากตะโกนถามเหี้ยถามไพร่หรือไม่ไพร่ทั้งหลายว่าว่า
ทำไมบ้านอื่นเมืองอื่น เขาไม่มีเรื่องไร้สาระ โกหก ตอแหล ทำลายตัวเองและกันเอง เหมือนบ้านเรา?
ทำไมพวกเขาเหล่านั้น ไม่รู้จักเรียนรู้ที่จะมีชีวิตอยู่อย่างมีธรรม จริงใจ
และครองอำนาจเพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยามบ้าง
และหากจะให้บอกความปรารถนาสักข้อหนึ่ง ก็อยากบอกว่า

"จงรีบล้มระบอบเหี้ยกันเถอะ"

เพราะเราต้องการประชาธิปไตยเต็มใบเท่านั้น


No comments:

Post a Comment